พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้มาตรา ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นมา โดยสาระที่กำหนดไว้ ดังนี้ “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง” สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มีการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการกับศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการยกร่างกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์ฯ และผ่านการรับฟังความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ภายหลังจากมีกฎกระทรวงแล้วส่งผลให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขสามารถดำเนินการตามเจตนาของบุคคลที่จัดทำหนังสือได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและให้พ้นจากการรับผิดทั้งปวง มาตรา ๑๒ นับเป็นหัวใจสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ที่จะช่วยให้บุคคลเผชิญวาระสุดท้ายแห่งชีวิตอย่างสง่างาม และมีเจตจำนงในการเลือกที่จะตายดี โดยดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สมควรจะเป็น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า ๑ ทศวรรษ หลังการมีพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ สช. ได้ดำเนินตามเป้าหมายอย่างมุ่งมั่น แสวงหาความร่วมมือและสื่อสารกับทุกภาคส่วน จนเกิดความรู้ ความเข้าใจในสังคมเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ และระบบบริการ ทั้งในด้านการดูแลแบบประคับประคอง และการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ จากหลักการและเหตุผลข้างต้น สช. จึงได้จัดทำโครงการเสนอคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และได้รับความเห็นชอบให้ จัดประชุม “สร้างสุขที่ปลายทาง” ขึ้น เพื่อนำไปสู่การยกระดับการรับรู้ของสังคมในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ สังคม ระบบบริการ และนโยบายเพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอันจะนำไปสู่สุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต
สำนักวิชาการและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9092
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้มาตรา ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นมา โดยสาระที่กำหนดไว้ ดังนี้
“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) มีการพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการกับศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการยกร่างกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์ฯ และผ่านการรับฟังความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ภายหลังจากมีกฎกระทรวงแล้วส่งผลให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขสามารถดำเนินการตามเจตนาของบุคคลที่จัดทำหนังสือได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและให้พ้นจากการรับผิดทั้งปวง มาตรา ๑๒ นับเป็นหัวใจสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ที่จะช่วยให้บุคคลเผชิญวาระสุดท้ายแห่งชีวิตอย่างสง่างาม และมีเจตจำนงในการเลือกที่จะตายดี โดยดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สมควรจะเป็น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า ๑ ทศวรรษ หลังการมีพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ สช. ได้ดำเนินตามเป้าหมายอย่างมุ่งมั่น แสวงหาความร่วมมือและสื่อสารกับทุกภาคส่วน จนเกิดความรู้ ความเข้าใจในสังคมเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ และระบบบริการ ทั้งในด้านการดูแลแบบประคับประคอง และการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ
จากหลักการและเหตุผลข้างต้น สช. จึงได้จัดทำโครงการเสนอคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และได้รับความเห็นชอบให้ จัดประชุม “สร้างสุขที่ปลายทาง” ขึ้น เพื่อนำไปสู่การยกระดับการรับรู้ของสังคมในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ สังคม ระบบบริการ และนโยบายเพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอันจะนำไปสู่สุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต
สำนักวิชาการและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9092
หมวดหมู่เนื้อหา: