เดินหน้าขับเคลื่อน ‘สังคมไทยไร้แร่ใยหิน’

   เป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษ ที่เครือข่ายด้านสุขภาพ ทั้งฟากฝั่งวิชาชีพ วิชาการ ภาคประชาสังคม ได้ทำงานล่มหัวจมท้ายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ด้วยการ “แบนแร่ใยหิน” ให้พ้นจากประเทศอย่างถาวร
 
   แม้ว่าปัญหาสุขภาพที่เกิดจาก “แร่ใยหิน” จะไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่หลักฐาน ข้อพิสูจน์ ตลอดจนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน กลับแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง จึงได้มีการทบทวนมติสมัชชาฯ “มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน” ที่เคยมีมติไปแล้วเมื่อปี 2553 อีกครั้ง ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2562 เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องและเท่าทันความเป็นจริง ซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและขยับเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น
 
   สมาชิกสมัชชาสุขภาพได้มีฉันทมติร่วมกันต่อ มติที่ 12.1 ทบทวนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มาตรการ
ทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน และนับหนึ่งการขับเคลื่อนด้วยการจัด ประชุมปรึกษาหารือการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 พ.ศ. 2562 มติที่ 12.1 ขึ้น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา

 
   รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ รองประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ ในฐานะประธานการประชุม เปิดวงด้วยการชี้แจงผู้เข้าร่วม ซึ่งมีทั้งมิตรเก่าและเพื่อนใหม่ ให้รับทราบถึงภารกิจที่จะต้องทำร่วมกัน ภายหลังมตินี้ ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ และอยู่ระหว่างเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

 
   “หลังจาก ครม. มีมติ ก็จะทำงานกันง่ายขึ้น เพราะเมื่อเป็นนโยบายแล้ว หน่วยงานต่างๆ ก็สะดวกใจในการวางแผนงาน ของบประมาณขับเคลื่อนงาน ดังนั้น การประชุมวันนี้ จึงอยากให้มีการวางเป้าหมายร่วมกัน และนำเข้าข้อมูลที่จะชี้ให้เห็นถึงวิธีการขับเคลื่อนต่อไป” รศ.ดร.จิราพร ระบุ
 
   จากนั้น ศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์ เลขานุการคณะทำงานพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายฯ ได้ทบทวนสถานการณ์ความเป็นมาและทบทวนมติสมัชชาสุขภาพฯ ที่เคยมีในปี 2553 รวมถึงแนวทางการจัดการและความเป็นอันตรายของแร่ใยหินไครโซไทล์ ก่อนจะนำที่ประชุมเข้าสู่สาระสำคัญในมติ 12.1
 
   “ปัจจุบัน มีสารทดแทนแร่ใยหินเพียงพอแล้ว ข้อเสนอในมติครั้งนี้จึงกำหนดให้มีการยกเลิกใช้ภายในปี 2565 และ 2568 ตามชนิดของผลิตภัณฑ์” ศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ สรุปเป้าประสงค์ของมติ และกล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้การรับรู้ของผู้คนทั่วไปยังไม่เพียงพอ ยังขาดระบบการเฝ้าระวังและติดตามผู้ป่วย รวมถึงประเด็นราคาวัสดุทดแทน
 
   “ทั้งหมดต้องมีการศึกษามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ และกฎหมายต่างๆ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกใช้ แร่ใยหินให้ได้ในที่สุด” ศ.ดร.นพ.สุรศักดิ์ ระบุ

 
   ประเด็นหนึ่งที่ผู้ร่วมประชุมอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง คือ ข้อมติที่เกี่ยวข้องกับ “ท้องถิ่น” นั่นคือ การออกข้อบัญญัติกระบวนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและกำจัดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนทางกฎหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎกระทรวงฯ ที่ให้อำนาจท้องถิ่นในการดำเนินการเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
 
   เช่นเดียวกับประเด็นการ “ยกเลิกนำเข้า” ซึ่งผู้แทนจากกรมการค้าระหว่างประเทศ ชี้แจงว่า ต้องอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 โดยการเพิ่มรายการสินค้าเข้าไป ซึ่งต้องทำงานร่วมกับกรมศุลการกรด้วย
 
   “จำเป็นต้องมีข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจน มีแนวทางปฏิบัติที่ไม่ขัดกับองค์การการค้าโลก (WTO) จากนั้น จึงจะเข้าสู่กระบวนการรับฟังความเห็นพร้อมกระบวนการกลั่นกรองกฎหมาย ในกรณีที่สินค้ามีความชัดเจน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาเร็วสุดประมาณ 1 ปี จึงจะประกาศยกเลิกการนำเข้าได้”
 
   ขณะที่การสนับสนุนใช้ผลิตภัณฑ์ “วัสดุทดแทน” ผู้แทนจากกรมบัญชีกลาง ชี้ประเด็นไปที่ “การเปิดช่องให้มีการจัดซื้อจัดจ้างได้” หากเล็งเห็นความสำคัญว่า เป็นพัสดุที่รัฐต้องสนับสนุน
 
   “ควรมีการกำหนดหรือจัดทำมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ปลอดแร่ใยหิน โดยอาจมีการขึ้นทะเบียนหรือบัญชี
ที่ชัดเจน หลังจากนั้นกรมบัญชีกลางจะสามารถเสนอให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อหรือจ้างรับเหมาเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้หากเล็งเห็นความสำคัญว่า เป็นพัสดุที่รัฐต้องสนับสนุน แต่จำเป็นจะต้องเริ่มจากต้นน้ำโดยต้องมีการสั่งการในระดับนโยบายลงมาก่อน”
ผู้แทนกรมบัญชีกลางกล่าว

 
   ในส่วนของ “การวินิจฉัยและติดตามโรค” ผู้แทนจากกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีการประกาศ พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 ไปแล้ว ซึ่ง “โรคเหตุใยหิน” เป็นหนึ่งในโรคที่หน่วยงานหรือนายจ้างต้องมีการรายงานหากพบว่าลูกจ้างเกิดโรค เพื่อให้ได้รับการดูแลในลำดับต่อไป
 
   ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) มองว่า ประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
อาจมีการทำผังความเชื่อมโยงของกฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้เห็นภาพรวมและสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ซึ่งการออกกฎหมายลำดับรองบางส่วน จะช่วยให้ระดับปฏิบัติการทำงานได้ง่ายขึ้น และยินดีสนับสนุนข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งพื้นที่ปฏิบัติการที่ประสบผลสำเร็จจากประเทศต่างๆ เพื่อการเผยแพร่ สร้างความเข้าใจ กระตุ้นสังคมไทยให้ตระหนักถึงอันตรายจากแร่ใยหิน

 
   หลังจากอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง รศ.ดร.จิราพร แจ้งผู้เข้าร่วมว่า ข้อเสนอต่างๆ จะถูกเก็บไว้อย่างเป็นระบบ โดยฝ่ายเลขานุการจะรวบรวมข้อมูล ความเห็นและข้อเสนอของหน่วยงานต่างๆ นำมาวิเคราะห์เพื่อเสนอแผนการขับเคลื่อนร่วมกันต่อไป ขอขอบคุณที่มาร่วมกันแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าในแต่ละเรื่องนั้นอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบหรือไม่อยู่ในความรับผิดชอบใคร หรือแต่ละหน่วยงานต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อได้
 

กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9147